
จากกรณีที่พยาบาลสาว ได้ออกมาโพสต์ภาพข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nunus Rattiya เตือนพ่อแม่ผู้ปกครองให้งดพาบุตรหลานออกไปที่สาธารณะ อีกทั้งให้งดกอดหอมบุตรหลาน เนื่องจากเสี่ยงติดเชื้อไวรัส RSV ที่กำลังระบาดหนักอยู่ในช่วงนี้ หลังผู้ปกครองพาบุตรหลานมาตรวจแล้วพบว่าค่าขึ้น positive แทบทุกราย
โดยระบุข้อความว่า “RSV ระบาดหนักมาก งดกอดงดหอมเด็กๆ งดพาเด็กๆไปห้าง ไปสัมผัสกับคนอื่นก่อนนะ ไม่ไหวแล้ว เทส RSV เจอขึ้น positive แทบทุกคนเลย พี่ไม่ไหวแล้วลูก พร้อมระบุลงท้ายว่าด้วยรักและห่วงใย”โดยก่อนหน้านี้แพทย์หญิงณัชชา สากระจาย แพทย์ศาสตร์บัณฑิต เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก คลินิกเด็กหมอณัชชา กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคระบบทางเดินหายใจ จ.อุบลราชธานี
ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเชื้อไวรัส RSV โดยระบุว่า วันนี้หมอจะมาเล่า “เรื่องไวรัส RSV” ให้ฟังนะคะ RSV เป็นเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายจากคนสู่คนโดยผ่านทางละอองฝอยขนาดใหญ่ (droplet), ผ่านทางการสัมผัส(contact) หรือผ่านทาง fomite โดยไวรัสจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ประมาณ 24 ชั่วโมงระบุต่ออีกว่า การติดต่อ มักเกิดจากการสัมผัสจะมือไปที่ตาหรือจมูก ผู้ที่ติดเชื้อ RSV จะมีการปล่อยเชื้อไวรัสออกจากสารคัดหลั่งประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนผู้ที่ได้รับเชื้อ RSV เข้าสู่ร่างกายมันจะมีระยะฟักตัว 3 ถึง 5 วัน ก่อนเริ่มแสดงอาการของระบบทางเดินหายใจอาการ : อาการแสดงทางคลินิกของผู้ป่วยติดเชื้อ RSV มีความแตกต่างกันไปตามวัยของเด็ก 1.ทารกคลอดก่อนกำหนดและทารกในช่วงเดือนแรก
จะมีอาการดูดนมน้อยลง ซึมลง บางรายมีอาการหยุดหายใจ บางรายอาจมีอาการคล้ายการติดเชื้อในกระแสเลือดได้2.เด็กช่วง 2 ขวบปีแรก มักเริ่มจากอาการไข้ต่ำๆ น้ำมูก จาม นำมาก่อน 1 ถึง 3 วัน ต่อมาเริ่มมีอาการไอ หายใจเร็วขึ้น หายใจลำบาก เด็กบางรายมีการติดเชื้อของระบบหายใจส่วนล่างได้แก่ ภาวะหลอดลมฝอยหรือหลอดลมส่วนปลายอักเสบ(Bronchiolitis) หากเชื้อลุกลามไปยังถุงลมจะเกิดภาวะปอดอักเสบได้ (pneumonia) บางรายที่มีอาการรุนแรงจำเป็นต้องรับการรักษาในไอซียู3.เด็กอายุ 2 ถึง 5 ปี นอกจากเชื้อ RSV จะทำให้เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนล่างแล้วยังทำให้เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบนและเกิดกลุ่มอาการ Croup (การอักเสบของกล่องเสียงและทางเดินหายใจส่วนบน) ได้สำหรับการวินิจฉัยโรค 1. การตรวจทางไวรัสวิทยา ได้แก่ วิธี rapid antigen detection ตรวจโดยการป้ายจมูก , real time PCR , การเพาะเชื้อ (ไม่นิยมใช้ในทางเวชปฏิบัติ) และ 2.ภาพถ่ายรังสีปอด ส่วนด้านการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ RSV เป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่การให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอขับเสมหะ ยาลดน้ำมูก โดยเน้นการดูแลระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสชนิดนี้

ทั้งนี้ได้แนะวิธีการป้องกัน ได้แก่ 1.การให้นมแม่ นมแม่ช่วยป้องกันการเกิดโรคติดเชื้อ RSV ชนิดรุนแรงได้ในช่วงวัยทารก นอกจากนี้ภูมิคุ้มกันจากมารดา anti-RSV IgG ที่ส่งผ่านมาทางรกช่วยลดการติดเชื้อ RSV ในทารกช่วง 4 เดือนแรกของชีวิตได้2.ผู้ปกครองที่มีลูกป่วยควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติเพื่อป้องกันการไอจามแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นรอบข้าง ถ้าลูกเริ่มเข้าเนอสเซอรี่หรือโรงเรียน

คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกหยุดเรียนอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์จนกว่าจะหายเป็นปกติ3.แยกเด็กป่วยและของใช้ของเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค4.ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนจับหรือดูแลเด็ก5.หลีกเลี่ยงการจูบหรือหอมเด็กเพราะอาจเป็นการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว6.ใส่หน้ากากอนามัยป้องกันหากมีการสัมผัสผู้ป่วย7.ดูแลบุตรหลานให้อยู่ห่างผู้ป่วยที่สงสัยว่าติดเชื้อ8.ไม่นำบุตรหลานไปในที่ชุมชนสถานที่ที่มีคนเยอะ9.สำหรับการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนในเด็กวัย 6-24 เดือน อยู่ระหว่างการวิจัยพัฒนา(ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค)ขอบคุณข้อความจาก Nunus Rattiya , คลินิกเด็กหมอณัชชา กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคระบบทางเดินหายใจ จ.อุบลราชธานี
